จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท

ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท


ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท
วิดีโอแสดงการเลี้ยงมดแดงในขวดพลาสติก หรือคอนโดมดแดงนั้นเอง..
 

ถ้าพูดถึงไข่มดแดงล่ะก้อ ถือเป็นสุดยอดของอาหารพื้นบ้านเลยทีเดียว ด้วยรสชาติที่เฉพาะตัว นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ให้รสชาติที่หวานมัน ทำให้ไข่มดแดงมีราคาสูงถึง 300-500 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว การที่จะได้ไข่มดแดงมากินนั้นต้องไปเสาะหาแหย่ตามรังตามต้นไม้สูงทำให้เป็นอาหารที่หายาก แต่ปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปลำบากลำบนแล้วครับ มีนวัตกรรมใหม่ นั้นก็คือการทำบ้านให้มดแดงด้วยขวดพลาสติก ทำให้ง่ายต่อการเก็บไข่มดแดง นั้นก็คือการเลี้ยงไข่มดแดงแบบคอนโด...

 
 

การทำคอนโดไข่มดแดงนั้นง่ายนิดเดียว แค่นำขวดน้ำอัดลมมาตัดคอขวดแล้วกลับด้าน นำไปประกบกับส่วนก้นขวด แล้วหาอะไรยึดให้สองส่วนนี้ติดกัน โดยในขวดนี้ต้องใส่อาหารของมดแดง เช่น แมลง หรืออาจจะใส่ พวกปลา หรือเนื้อก็ได้ เพื่อล่อให้มดแดงเข้ามาอยู่ จากนั้นนำขวดอีกใบ ใส่น้ำผสมน้ำหวานหรือน้ำตาล ปาดขวดเป็นช่องให้มดแดงเข้าไปกินน้ำได้ จากนั้นนำขวดทั้งสองไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ที่มีมดแดงอาศัยอยู่ ให้สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร เมื่อมดแดงได้กลิ่นอาหารและกลิ่นน้ำหวานก็จะพากันอพยพมาอยู่ในขวด ทำให้ง่ายต่อการเก็บไข่มดแดง โดยคอนดดไข่มดแดงแต่ละขวดสามารถให้ผลผลิตไข่มดแดงได้ 2-3 ขีดเลยทีเดียว....
 
 เมื่อมดแดงได้กลิ่นอาหารและน้ำหวานที่เราแขวนไว้ก็จะพากันอพยพเข้าไปอยู่ในขวด....


คอนโดมดแดงที่เราแขวนไว้สามารถให้ผลผลิตไข่มดแดงสูงถึง 3-4 ขีดเลยทีเดียว...


ไข่มดแดงขาวๆอวบๆเม็ดเป้งๆ เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหาร


ก้อยไข่มดแดงเมนูยอดฮิตแสนอร่อย


แกงผักหวานใส่ไข่มดแดงรสกลมกล่อมน่าทานที่สุด...


ทอดไข่ใส่ไข่มดแดง อีกเมนูที่แนะนำ หอมหวานมัน อร่อย...


Cr: http://farmfriend.blogspot.com/
 



วิธีเพาะเห็ดปลวก(เห็ดโคน)จากจอมปลวก ได้กินทั้งปี

วิธีเพาะเห็ดปลวก(เห็ดโคน)จากจอมปลวก ได้กินทั้งปี


   หลอกปลวก ให้ได้เห็ดโคนนอกฤดู ทำได้เฉพาะในที่มีจอมปลวก
วิธีทำให้เอารังปลวก(จาวปลวก)1 กำมือ ผสมข้าวเหนียวสุก 1 กิโล และขาเห็ดโคนที่เราตัดทิ้งแล้วไม่เอา หรือเห็ดโคนแก่ แล้วนำมาแช่น้ำ และผสมลงไปที่ข้าวด้วย ถ้าที่ตรงนั้น เคยมีเห็ดโคนเกิดแล้ว ไม่ต้องใส่ก็ได้ เติมน้ำ 20 ลิตรหมักใว้ในถัง แล้วปิดฝา วางในที่ร่มทิ้งใว้ 7-10 วัน
ในถังหมักจะมีจุลินทรีย์โปรโตซัวชนิดหนึ่ง ซึ่งจะขยาย ตัวเป็นฝ้าสีขาวลอยเหนือผิวนําหมัก หลังจากหมักครบ 7 วันแล้วให้เรานํานํ้าจุลินทรีย์จาวปลวกที่ว่านี้ ไปราดที่จอม ปลวกข้างบ้าน คลุมด้วยเศษฟางข้าวหรือเศษใบไม้ เสร็จ แลวให้รดนําพอชื้น อีกประมาณ 10-15 วัน ก็จะมีเห็ดโ คนโผล่ขึ้นมาให้เรารับประทาน ใครสนใจทดลองทำดูนะ
น้ำจุลินทรีย์จาวปลวก ยังสามารถนำมารด พืชผัก ผลไม้ บางคนเอาไปรดบนโคนตันไม้ ก็เกิดเห็ดโคนขึ้นมาได้เหมือนกัน ใช้ในอัตราส่วนประมาณ 1 ลิตร ต่อน้ำ 10 ลิตรใช้ฉีดพ่นเพื่อย่อยสลายเศษวัชพืช (หมักทำปุ๋ยหมัก) หรือย่อยสลายตอซังข้าวก่อนทำการไถประมาณ 7 วัน หลังจากนั้นไถกลบ และ หากจะนำไปรดโคนต้นเพื่อบำรุงพืชผลอื่นๆก็ได้เช่นกัน ในอัตราส่วนข้างต้น ไม่ตายตัวสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน








Cr: http://www.xn--b3c3aqauf2as1ab9cd0b.com/

เลี้ยงแมงดานา แมลงเศรษฐกิจ สร้างรายได้งาม

เลี้ยงแมงดานา แมลงเศรษฐกิจ สร้างรายได้งาม


การเตรียมสถานที่
บ่อสำหรับเลี้ยงแมงดา ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก แต่จะต้องเป็นที่โล่งแจ้ง น้ำท่วมไม่ถึง และไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
 

ขนาดบ่อ
บ่อที่นิยมใช้คือ ให้มีความยาวมากว่า ความกว้างประมาณ 2 เท่า เข่น 1*2 หรือ 2*4 โดยบ่อที่ดีควรมีขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร ขอบทั้งสีด้านทำมุม 45 องศา ชานบ่อให้กว้างประมาณ 1 เมตร และตรงกลางบ่อควรทำให้มีความลึก เพื่อเป็นที่เก็บของเสีย และง่ายต่อการทำความสะอาด ปลูกต้นไม้ตรงชานบ่อเพื่อเป็นที่อยู่ และวางไข่ และขึงตาข่ายขนาดรูไม่เกิน 1 ซม. เพื่อป้องกันแมงดาหนี หรือ แมลงอื่น เข้าไปทำอันตรายแกแมงดา
วิธีการเลี้ยงแมงดานา

1. เตรียมบ่อ และบ่มจนน้ำไม่มีกลิ่น
2. ใส่น้ำให้ได้รับดับความลึกประมาณ 70-80 ซม (โดยน้ำที่ใช้จะเป็นเป็นน้ำบาดาลที่ได้สูบมาพักให้ตกตะกอนดีแล้ว )
3. ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไปในอัตรา 50 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร ใน  สัดส่วนตัวผู้กับตัวเมีย 1 ต่อ 1

ช่วงที่เหมาะสำหรับการรวบรวมแมงดาเพื่อทำพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ที่ดีที่สุดคือ ช่วงเดือน กันยายน-ตุลาคม เพราะ แมงดาวัยรุ่นยังไม่มีไข่ (ว่ากันว่าถ้าแมงดามีไข่ในท้อง หากตกใจจะกลั่นไข่จนในที่สุดตัวแมงดาก็จะตาย)

การดูว่าเป็นตัวผู้หรือ ตัวเมีย
ดูที่อวัยวะสืบพันธุ์ ตรงก้นที่เห็นเป็นระยางค์แฉกๆลองแง้มดูภายในหากเห็นเป็นอวัยวะคล้ายเม็ดข้าวสารแแสดงว่าเป็นตัวเมียแน่นอน

การเตรียมบ่อเพื่อให้แมงดานาผสมพันธุ์
เริ่มจากลดระดับน้ำลงจากเดิมประมาณครึ่งหนึ่ง พร้อมกับจัดการเก็บไม้น้ำ โพรงไม้ ขอนไม้ หรืออะไรที่ลอยน้ำเป็นที่ยึดเกาะของแมงดานาออกจากบ่อให้หมดโดยนำไม่ไผ่หรือกิ่งไม้แห้งๆใส่ลงไปแแทนที่ทิ้งไว้แบบนี้ 3-4 วัน ก่อนเปลี่ยนน้ำเข้าไปใหม่ในระดับเดิมคือ ประมาณ 80 ซม.หรือเกือบเต็มบ่อก็ได้ จากนั้นเก็บกิ่งไม้ไผ่ กิ่งไม้ออก ใส่ลูกบวบลงไปแทน โดยลูกบวบนี้ทำจากท่อนกล้วยยาวท่อนละ 1 เมตร ที่ถ่วงน้ำหนักให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของท่อนกล้วยจมน้ำด้านนี้เสมอ ส่วนด้านบนที่ไม่จมน้ำ ปักด้วยซี่ไม้ไผ่หรือไม้เสียบลูกชิ้นยาวคืบกว่าๆเป็นแถว กะว่าแต่ละอันห่างกันประมาณ 10 ซม.

แมงดานาจะขึ้นมาวางไข่ตามไม้ที่ปักไว้นี้ หลังจากนี้ประมาณ 3-4 วันไปแล้ว ซึ่งเมื่อเห็นว่าแมงดานาวางไข่แล้วเต็มที่ก็ให้จับพ่อแม่พันธุ์ออกไปเลี้ยงในบ่ออื่นให้หมด นอกจากนี้แล้วแมงดานาตัวเมียจะวางไข่ได้อีก 2-3 ครั้ง ในแต่ละช่วงปีห่างกันครั้งละประมาณ 1 เดือน ดังนั้นหากต้องการมีแมงดานาขายอย่างต่อเนื่องแล้วอาจจะต้องลงทุนทำบ่อไว้หลายบ่อโดยวิธีเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หลังจากวางไข่ผสมพันธุ์แล้วจะดีกว่า เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้จะเร่งให้มันผสมพันธุ์วางไข่เร็วขึ้น โดยพ่อแม่พันธุ์แต่ละรุ่น มักนิยมใช้กันแค่ปีเดียวคือวางไข่ได้ 2-3 ครั้งก็จับขายแล้วคัดเอาบรรดาลูกๆรุ่นใหม่เป็นพ่อแม่พันธุ์ต่อไป
ไข่แมงดา


อาหารของแมงดานา

อาหารของแมงดา ให้ด้วยลูกปลา ลูกกุ้ง หรือ ลูกอ๊อด ( อย่าให้ลูกอ๊อดคางคก เพราะลูกอ๊อดคางคกมีพิษ )
การให้อาหารตอนเช้าก่อน 08.00 น. วันละ 1 ครั้ง และช่วงเย็น (16.00น.) เอาเศษลูกปลาตายออก ล้างทำความสะอาดถ้วยเลี้ยง เปลี่ยนน้ำ เมื่อตัวอ่อนลอกคราบเข้าวัย 3 ย้ายเข้ากรงคู่ทำด้วยตาข่ายพลาสติกสีดำ ( มีจำนวนรู 35 รู ต่อ 1 ตารางนิ้ว ) ลักษณะรูปทรงกระบอกยาว 18.5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 เซนติเมตร ปิดส่วนท้ายกรงแต่ละคู่ด้วยแผ่นตาข่ายขนาด (กว้าง x ยาว) 9 x19 เซนติเมตร วางกรงในแนวนอนลงในถาดหรือกะละมังที่มีน้ำประมาณ 2 นิ้ว ด้านบนของกรงกรีดตาข่ายออกสามด้าน ขนาด (กว้าง x ยาว) 5 x 6 เซนติเมตร แล้วใช้ลวดยึดไว้เพื่อเป็นช่องประตูเปิดปิด ใส่ปลาและเอาแมงดาเข้าออก เมื่อลอกคราบเข้าวัย 4 ย้ายเข้ากรงทำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาด ( กว้าง x ยาว x สูง) 10 x 15 x 10 เซนติเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเดิมและเอากล่องลงบ่อดินขนาด ( กว้าง x ยาว) 3.5 x 7 เมตร ลึก 1 เมตรปูพื้นด้วยพลาสติก มีผักตบและกอบัว ใช้โฟมติดด้านข้างกรงเป็นทุ่นให้กรงลอยน้ำได้ ในกรงใส่ผักตบชวาให้แมงดาเกาะ เพื่อความสะดวกในการจัดการเอากรงขึ้นลงจากบ่อ จัดวางเป็นแถวและเอาลวดเสียบหัวและท้ายกรงในแนวยาวเหมือนไม้เสียบลูกชิ้นหรือบาร์บีคิว เลี้ยงจนเป็นตัวเต็มวัย


การจับแมงดานา

เครื่องมือในการจับแมงดานา
1. ใช้มือจับ
2. ใช้สวิงจับหรือช้อนตามไม้น้ำ
3. ใช้แสงไฟล่อ ติดตั้งหลอดแบล็กไลต์บนเสาไม้ไผ่สูงๆ ใช้ตาข่ายขึง กั้นให้สูงแมงดาจะมาเล่นไฟ
4. ปัจจุบันมีเครื่องมือจับแมงดานาแบบพื้นบ้านซึ่งเป็นผลงานการคิดค้นของจ่าสาย ศรีสมุทร สภอ.นาแก จังหวัดนครพนม โดยการใช้สังกะสีแผ่นเรียบมาตัดต่อบัดกรีให้เรียบร้อยเป็นกรวยปากกว้าง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 เมตร ความสูงของกรวย 1 เมตร และด้านล่างทำเป็นท่อกลวงขนาดกระป๋องนม ยาวประมาณ 30 ซม. การติดตั้งเครื่องมือให้เลือกสถานที่ใกล้แหล่งน้ำ โดยตั้งเสาสูงประมาณ 6 เมตรติดหลอดแบล็กไลต์ไว้ล่อแมงดา ด้านล่างติดตั้งกรวยสังกะสีหงายปากกรวยขึ้น มีไฟนีออนสีฟ้าล่อไว้อีกดวงหนึ่งที่ปากกรวยนั้น ส่วนด้านล่างสุดใช้ถุงปุ๋ยที่ไม่ขาดทะลุสวมเข้าที่ท่อกลวงด้านล่างผูกติดให้แน่น ซึ่งแสงจากหลอดแบล็กไลต์จะล่อแมงดาให้มาที่นี่ ส่วนแสงสีฟ้าจากหลอดนีออนเมื่อสะท้อนจากปากกรวยสังกะสีจะดูคล้ายๆกับแหล่งน้ำขนาดเล็ก ดึงดูดใจให้แมงดาบินลงกรวยในที่สุด ซึ่งการจับด้วยวิธีนี้สะดวก เพราะเราไม่ต้องนั่งเฝ้า รอไว้ดูตอนเช้าเลยทีเดียว


การนำแมงดามาปรุงอาหาร
อาหารจากแมงดา
1. ไข่แมงดานา นำมาย่างไฟหรือกินสดๆ
2. ตัวเต็มวัย ตัวเมียชุบแป้งทอด ทำแกงคั่วแมงดานา ตัวผู้มีกลิ่นหอมทำให้เพิ่มรสชาติอาหาร นำมาทำน้ำพริกแมงดา แจ่วแมงดานา น้ำพริกปลาร้า น้ำปลาแมงดา หรือดองแช่น้ำปลาไว้ขายราคาแพง (ตุลาคม-มีนาคม)

ที่มา: http://farmfriend.blogspot.com/2011/06/blog-post_20.html

นี่คือ..ความจริงเรื่อง “ทุเรียน” ที่คนไทยถูกหลอก!! ลองอ่านดู!

นี่คือ..ความจริงเรื่อง “ทุเรียน” ที่คนไทยถูกหลอก!! ลองอ่านดู!


นี่คือ..ความจริงเรื่อง “ทุเรียน” ที่คนไทยถูกหลอก!! ลองอ่านดู!

 
นี่คือ..ความจริงเรื่อง "ทุเรียน" ที่คนไทยถูกหลอก!! ลองอ่านดู!
คุณคงเคยได้ยินและเชื่อกันมาโดยตลอดว่า การรับประทานทุเรียนจะทำให้คุณอ้วน และเป็นโรคเบาหวาน แต่เราอยากจะบอกคุณว่า ความเชื่อเหล่านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากได้มีงานวิจัยทั้งในเมืองไทยและเมืองนอกได้ทำการรองรับว่า ทุเรียนคือ ราชาแห่งผลไม้ แต่ว่ารัฐบาลไม่มีเงินงบประมาณเพียงพอที่จะไปโฆษณาแข่งกับแอปเปิ้ลหรือผลไม้นอกอื่นๆ

สรรพคุณของทุเรียน
1. มีส่วนช่วยในการฆ่าเชื้อ เนื่องมาจากกำมะถันในเนื้อทุเรียนเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะอ่อนๆ ช่วยถ่ายพยาธิ

2. มีส่วนช่วยในการเผาผลาญ อันมาจากความร้อนของกำมะถัน ซึ่งจะทำให้ลดช่วยลดความอ้วน
3. มีส่วนช่วยในการระบาย เนื่องจากกากซึ่งถือเป็นเส้นใยยุ่บยั่บในเนื้อ ช่วยในการขัดล้างลำไส้
4. อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิเด้นซ์และวิตามินอีสูง จึงช่วยในการป้องกันและรักษา มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม 
5. มีส่วนช่วยลดไขมัน ลดคลอเรสเตอรอล ต้านความแก่
วิธีทานทุเรียน
• ให้คุณเริ่มทานหลังตื่นนอนตอนเช้า ในช่วงเวลา 5.00 - 7.00 น.
• คุณควรทานครั้งละไม่เกิน 2-3 พู หรือเท่ากับปริมาณ 4-6 เม็ด หรือประมาณเกือบครึ่งลูก สามารถทานได้ทุกพันธุ์
• หลังจากที่ทานแล้วก็ให้คุณดื่มน้ำอุ่นตาม 
• ข้อควรรู้ คุณควรงดอาหารเช้าของวันนั้นๆที่ทานทุเรียน
• คุณควรทานติดต่อกันเป็นเวลา 2 วัน เนื่องจากความร้อนที่มาจากสารกำมะถันและเส้นใยในทุเรียนจะไปช่วยในการชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆภายในลำไส้
• มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น คุณอาจจะทาน 2 พูแทนข้าวมื้อเย็น

ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

เบอร์รี่


 1. เบอร์รี่ 

          แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

 2. ไข่ไก่ 

          ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

  3. ถั่ว 

          ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

  4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ 

          เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม


 5. ส้ม 

          เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

 6. มันเทศ 

          อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

  7. บร็อคโคลี่ 

          เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

  8. ชา 

          แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

  9. คะน้า 

          มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

  10. โยเกิร์ต 

          อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ